1. อัลตราซาวด์ 3D และ 4D
หนึ่งในนวัตกรรมที่สำคัญคือการใช้อัลตราซาวด์ 3D และ 4D ที่ช่วยให้แพทย์สามารถเห็นภาพของอวัยวะภายในได้อย่างละเอียดและมีมิติมากขึ้น การตรวจแบบ 3D ช่วยให้เห็นภาพคมชัดและรายละเอียดของอวัยวะ ในขณะที่การตรวจแบบ 4D จะเพิ่มมิติของเวลา ทำให้สามารถเห็นการเคลื่อนไหวของอวัยวะภายในได้
2. อัลตราซาวด์เอลาสโตกราฟี (Elastography)
เทคโนโลยีเอลาสโตกราฟีเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่มีประโยชน์มากในการตรวจสอบความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อ การตรวจนี้สามารถใช้ในการวินิจฉัยโรคตับ เช่น ตับแข็ง โดยการวัดความแข็งของเนื้อเยื่อ ซึ่งจะช่วยให้แพทย์สามารถระบุความรุนแรงของโรคได้อย่างแม่นยำ
3. อัลตราซาวด์แบบพกพา (Portable Ultrasound)
การใช้อุปกรณ์อัลตราซาวด์แบบพกพาเป็นนวัตกรรมที่ทำให้การตรวจอัลตราซาวด์สามารถทำได้ในสถานที่ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นในคลินิกขนาดเล็กหรือแม้กระทั่งที่บ้านของผู้ป่วย การใช้อุปกรณ์พกพานี้ช่วยให้การตรวจเป็นไปอย่างรวดเร็วและสะดวกสบายมากขึ้น
4. อัลตราซาวด์ด้วย AI (Artificial Intelligence)
การผสมผสานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ากับการตรวจอัลตราซาวด์ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยโรค AI สามารถช่วยในการวิเคราะห์ภาพและระบุความผิดปกติที่อาจมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ซึ่งช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น
5. อัลตราซาวด์แบบโฟกัสสูง (High-Intensity Focused Ultrasound – HIFU)
HIFU เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงในการรักษาโรคบางชนิด เช่น เนื้องอก การตรวจและรักษาด้วย HIFU ช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างแม่นยำและลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อปกติ