ภาวะผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะในเด็ก เช่น การติดเชื้อ นิ่วในไต หรือภาวะไตบวม จำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยที่แม่นยำเพื่อการรักษาที่ถูกต้อง ปัจจุบันมีหลายวิธีในการตรวจวินิจฉัย ซึ่งแต่ละแบบมีข้อดีและข้อจำกัดต่างกัน
อัลตราซาวด์ระบบทางเดินปัสสาวะ
อัลตราซาวด์เป็นวิธีที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงสร้างภาพของไต กระเพาะปัสสาวะ และท่อไต สามารถตรวจหาการติดเชื้อ นิ่วในไต และความผิดปกติทางโครงสร้างของระบบทางเดินปัสสาวะได้ดี
ข้อดีของอัลตราซาวด์
- ปลอดภัย ไม่มีรังสี
- ไม่เจ็บปวด และสามารถตรวจซ้ำได้
- ให้ภาพชัดเจนของอวัยวะในระบบทางเดินปัสสาวะ
ข้อจำกัดของอัลตราซาวด์
- อาจไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติที่ซับซ้อนได้ทุกกรณี
- คุณภาพของภาพอาจขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้ตรวจ
การตรวจอื่นๆ ที่ใช้วินิจฉัยระบบทางเดินปัสสาวะ
เอกซเรย์ (X-ray)
สามารถใช้ตรวจหาความผิดปกติของโครงสร้างกระดูกในบริเวณอุ้งเชิงกราน หรือดูตำแหน่งของนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้
CT Scan
ใช้รังสีเอกซเรย์ในการสร้างภาพที่ละเอียด สามารถตรวจพบความผิดปกติที่อัลตราซาวด์อาจมองไม่เห็น เช่น นิ่วขนาดเล็ก หรือภาวะไตผิดปกติที่ซับซ้อน
MRI Scan
เป็นการตรวจที่ให้ภาพรายละเอียดสูงของเนื้อเยื่ออ่อนในระบบทางเดินปัสสาวะ โดยไม่มีการใช้รังสี เหมาะสำหรับการวินิจฉัยภาวะที่ต้องการข้อมูลเชิงลึก
การตรวจปัสสาวะ (Urinalysis)
เป็นวิธีพื้นฐานในการตรวจหาการติดเชื้อหรือภาวะผิดปกติในระบบทางเดินปัสสาวะ โดยดูค่าความเป็นกรด-ด่าง ปริมาณโปรตีน และเซลล์เม็ดเลือด
วิธีไหนดีที่สุดสำหรับเด็ก
- หากต้องการวิธีที่ปลอดภัย ไม่เจ็บปวด และสามารถใช้ติดตามผล อัลตราซาวด์เป็นตัวเลือกที่ดี
- หากต้องการตรวจหานิ่วหรือความผิดปกติที่อัลตราซาวด์อาจมองไม่เห็น CT Scan หรือ MRI อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสม
- หากสงสัยว่ามีการติดเชื้อ ควรเริ่มจากการตรวจปัสสาวะเพื่อคัดกรองเบื้องต้น